KTIS มั่นใจรายได้ ‘เอทานอล’ โตต่อเนื่อง ดันรายได้ธุรกิจชีวภาพโต

>>

 Hightlight

  • บริษัท เคทิส ไบโอเอทานอล จำกัด บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายเอทานอล ในกลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจร ระบุว่าในปีนี้ความต้องการใช้เอทานอลในประเทศอยู่ในระดับสูงกว่าปีก่อนอย่างต่อเนื่อง  
  • ทำให้ปริมาณการจำหน่ายเอทานอลของบริษัทในช่วง 6 เดือนแรกของงบการเงินปี 2562 (ตุลาคม 2561 – มีนาคม 2562) เติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่า 34% 
  • ดังนั้นถึงแม้ราคาขายจะลดลง แต่รายได้จากการขายเอทานอลก็ยังเพิ่มขึ้นถึง 21.4% ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รายได้ของสายธุรกิจชีวภาพของกลุ่ม KTIS มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสายธุรกิจน้ำตาล       

 

 
นายพิพัฒน์ สุทธิวิเศษศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท เคทิส ไบโอเอทานอล จำกัด บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายเอทานอล ในกลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจร เปิดเผยว่า ในปีนี้ความต้องการใช้เอทานอลในประเทศอยู่ในระดับสูงกว่าปีก่อนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปริมาณการจำหน่ายเอทานอลของบริษัทในช่วง เดือนแรกของงบการเงินปี 2562 (ตุลาคม 2561 – มีนาคม 2562) เติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่า 34% ดังนั้น ถึงแม้ราคาขายจะลดลง แต่รายได้จากการขายเอทานอลก็ยังเพิ่มขึ้นถึง 21.4% ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รายได้ของสายธุรกิจชีวภาพของกลุ่ม KTIS มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสายธุรกิจน้ำตาล

 

 

คาดว่าจนถึงสิ้นงวดบัญชีปี 2562 จะมีปริมาณการจำหน่ายเอทานอลสูงกว่า 75 ล้านลิตร ซึ่งนับว่าสูงมากเมื่อเทียบกับกำลังการผลิต 230,000 ลิตรต่อวัน เพราะโรงงานของเราได้รับการยอมรับจากลูกค้าที่เป็นบริษัทปิโตรเลียมรายใหญ่ของประเทศ ในเรื่องของการส่งมอบสินค้าได้ครบถ้วนตามเวลาที่กำหนด ไม่เคยขาดตกบกพร่อง ดังนั้นไม่ว่าจะผลิตได้เท่าไรเราก็สามารถขายได้ทั้งหมด” นายพิพัฒน์กล่าว

 

 

ทั้งนี้ในรอบ เดือนแรกของปีบัญชี กลุ่ม KTIS จำหน่ายเอทานอลไปแล้วประมาณ 40.2 ล้านลิตร มีรายได้ประมาณ 895 ล้านบาท ซึ่งปริมาณการจำหน่ายที่สูงด้วยการใช้กำลังการผลิตอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เนื่องจากการบริหารวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้โมลาสส่วนใหญ่จากโรงงานน้ำตาลเกษตรไทยที่มีกำลังการผลิตต่อวันสูงที่สุดในโลก จึงมีโมลาสเพียงพอที่จะป้อนเข้าสู่โรงงานได้อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี

 

 

จากการเข้าร่วมงานประชุมใหญ่ระดับโลกเกี่ยวกับเศรษฐกิจชีวภาพ ซึ่งมีผู้ร่วมงานกว่า 700 คน จากกว่า 70 ประเทศทั่วโลก พบว่าต่างก็มีแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในทิศทางใหม่เพื่อให้หลุดพ้นจากปัญหาเดิมๆ ที่ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ยาก จนถึงขั้นชะลอตัว หนึ่งในนั้นก็คือการขับเคลื่อนด้วยเศรษฐกิจชีวภาพ โดยประเทศไทยมีพื้นฐานทางเกษตรกรรม จึงมีศักยภาพมากในด้านของอุตสาหกรรมชีวภาพ ซึ่งมีองค์ประกอบหลัก ด้านคือ วัตถุดิบ กระบวนการผลิต และผลิตภัณฑ์ชีวภาพ

 

 

ในด้านของวัตถุดิบนั้น ประเทศไทยผลิตข้าวโพดและยางพาราได้ปีละประมาณ ล้านตัน ปาล์มน้ำมันประมาณปีละ 15 ล้านตัน ข้าวสารและมันสำปะหลังปีละเกือบ 30 ล้านตัน และอ้อยในปีก่อนได้ผลผลิตถึง 130 ล้านตัน จึงเห็นได้ว่าไทยมีความพร้อมมากในด้านวัตถุดิบ ส่วนกระบวนการผลิตซึ่งต้องใช้องค์ความรู้ในการแปรรูปวัตถุดิบไบโอแมสเป็นผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ในปัจจุบันก็เชื่อว่าคนไทยมีองค์ความรู้ที่เพียงพอ หรือในบางด้านที่ยังขาดอยู่ก็สามารถหาพันธมิตรต่างชาติที่มีความชำนาญมาร่วมได้ ส่วนในด้านของผลิตภัณฑ์ชีวภาพนั้นก็มีหลายประเภท ซึ่งหาตลาดรองรับได้ไม่ยาก เพราะแนวโน้มของโลกต้องการลดการใช้วัสดุหรือผลิตภัณฑ์ที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม จึงต้องหันมาหาผลิตภัณฑ์ชีวภาพ

 

“การพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของแต่ละประเทศจะต้องหาความเหมาะสมลงตัวของแต่ละประเทศเอง ไม่มีสูตรสำเร็จ แต่ที่แน่ๆ คือ จะต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ทั้งในด้านนโยบายและการสนับสนุนด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ลดต้นทุนของผู้ลงทุนในอุตสาหกรรมชีวภาพ หรือส่งเสริมการสร้างบุคลากรด้านนี้” นายพิพัฒน์กล่าว